วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

Learning log 5

Wednesday, Sebtember 19, 2018


The knowledge gained

                 อาทิตย์นี้อาจารย์แจกใบกิจกรรมบ้านวิทยาศาสตร์น้อยและให้นักศึกษาสรุปกิจกรรมของตัวเองลงในกระดาษ โดยแต่ละแผ่นก็จะมีหลายกิจกรรมและให้เราเลือกมาเพียงกิจกรรมเดียวของดิฉันก็จะเป็น คณิตศาสตร์ 





การสะท้อน : วาดรูปอีกครึ่งที่หายไป

เรื่อง...กระจกเงาทำได้ทุกอย่าง

วัสดุอุปกรณ์                                                                
- กระจกเงา                                                                  
- รูปที่ไม่สมมาตรจากหนังสือต่างๆ                               
- รูปสมมาตร เช่น รูปดาว รูปหัวใจ                                
- กระดาษ
- ดินสอ
- ไม้แท่งเล็กๆ

วัสดุอุปกรณ์ (หัวข้อกิจกรรมเพิ่มเติม)
- กระจกเงา 2 บาน
- เทปกาว
- สิ่งของต่างๆ เช่น ปากกา ไม้แขวนเสื้อ

ขั้นตอนการดำเนินการ
1) เริ่มต้นจากครูเลือกเด็กๆมายืนหน้าห้อง 1 คน ตั้งคำถามกับเด็กๆว่าในร่างกายมีจำนวน แขน ขา หู และตาจำนวนเท่าไหร่ โดยให้เด็กกางแขนออก จากนั้นครูขานตัวเลขให้เด็กๆเห็นว่าอวัยวะที่พูดถึงมีจำนวนอย่างละคู่ แล้วตั้งคำถามว่าถ้าแบ่งร่างกายออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆกันโดยให้แต่ละส่วนมีแขน 1 ข้าง 
ขา 1 ขา ตา 1 ดวงและ หู 1 หู จะแบ่งอย่างไรและที่ตำแหน่งใด
2) ให้เด็ช่วยกันคิดว่าสมบัติของกระจกเงามีอะไรบ้าง เช่น ทำให้วัตถุที่ส่งบิดเบี้ยว สั้นลง 
เพิ่มจำนวนของวัตถุ ทำให้วัตถุสมบูรณ์ หรือทำให้เกิดภาพแปลกๆ
3) ครูแจกกระดาษให้นักเรียนแต่ละคน พับครึ่งจากนั้นคลี่ออก ให้เด็กวาดรูประบายสีเพียงครึ่งเดียว จากนั้นให้แลกรูปกับเพื่อน แล้วนำกระจกมาวางให้ตั้งฉากกับรอยพื้น จะเกิดรูปสมมาตรขึ้น ให้เด็กวาดรูปที่เห็นบนกระจกลงในกระดาษ และสันที่เกิดจากการพับคือ แกนสมมาตรนั่นเอง
* รูปในกระดาษด้านใดด้านหนึ่งคือรูปต้นแบบ และอีกด้านหนึ่งคือรูปที่เท่ากันทุกประการ

ผลจากการทำกิจกรรม
            กระจกเงาทำให้เกิดรูปสมมาตร และแกนสมมาตรคือตัวกระจกนั่นเอง เมื่อนำวัตถุมาวางไว้หน้ากระจกจะเกิดรูปเสมือนจริง แต่ถ้าเป็นกระจกเงาแบบพับนอกจากจะเกิดรูปเสมือนจริงแล้ว ยังทำให้เห็นหลายๆรูปเนื่องจากกระจกทั้งสองบานสะท้อนกันเอง ส่วนการเห็นจำนวนรูปนั้นขึ้นอยู่กับมุมกระจกนั่นเอง
* สิ่งของบางชนิดต้องมีความสมมาตรกันจึงจะใช้งานได้ เช่น บันได เก้าอี้

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์  แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้
1.การตั้งประเด็น
2.การตั้งสมมติฐาน
3.การลงมือทดลอง (ทักษะทางวิทยาศาสตร์ สังเกต เก็บรวบรวมข้อมูล)
4.การสรุปผลการทดลอง (ตรวจสอบสมมติฐาน)
5.การอภิปรายผล


Self evaluation

: วันนี้แต่งกายเรียบร้อยและเข้าเรียนตรงเวลา รับผิดชอบงานที่อาจารย์มอบหมายให้ทำในห้องเรียน และให้ความร่วมมือกับอาจารย์ค่ะ




Evaluate friends

: เพื่อนๆตั้งใจทำงานที่อาจารย์มอบหมายให้ และมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ประดิษฐ์สื่อจากวัสดุเหลือใช้



Evaluate the teacher

: อาจารย์ตรวจดูบล็อกและแนะนำองค์ประกอบของแฟ้มสะสมผลงานในส่วนที่ต้องเพิ่มเติมค่ะ



Science Teaching Media Summary


สรุป ทอร์นาโดมหาภัย


บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ตอน ทอร์นาโดมหาภัย

                ถามประสบการณ์เดิมของเด็กๆว่าพายุทอร์นาโดคืออะไร หลังจากนั้นก็ทดลองขั้นตอนการทำนำข้อต่อมาต่อกับขวดน้ำแดงจนแน่นแล้วนำขวดเปล่าอีกใบมาต่อด้สนที่เหลืออยู่ หลังจากนั้นก็ถามว่าถ้าพลิกขวดจะเกิดอะไรขึ้น แล้วทดลองพลิกดูน้ำก็ไหลลงไปอีกขวดน้อยและเกิดฟอง แล้วก็ถามเด้กว่าทำยังไงน้ำจะลงไป คำตอบคือบีบ ถ้าบีบข้างล่างน้ำจะไหลลงไปข้างล่าง แล้วเขาก็บอกวิธีโดยโยกขวดข้างบนแล้วน้ำไหลลง

ผลการทดลอง

             เมื่อพลิกขวดน้ำและตั้งไว้เฉยๆนำจะไม่ไหลงลงมาข้างล่างแสดงว่าในขวด มีอากาศอยู่เรามองเห็นได้ในรูปแบบฟองอากาศ พอบีบขวดข้างล่างจะสังเกตเห็นฟองอากาศลอยขึ้นไปยังด้านบนแล้วน้ำไหลลงมา เมื่อบีบขวดข้างล่างอากาศจะออกแรงผลักขึ้นไปยังขวดด้านบนทำให้ขวดด้านล่างมีพื้นที่ว่างน้ำ จึงไหลงมาได้ สำหรับการเกิดทอร์นาโดในขวดเกิดจากการเคลื่อนตัวของอากาศ ผ่านตาของน้ำวนขึ้นสู่ด้านบนน้ำจะหมุนไหลผ่านผิวด้านในขวดไปยังด้านล่าง

Research Summary

วิจัยเรื่อง

ความมุ่งหมายของการวิจัย 

ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งความมุ่งหมายไว้ดังนี้
  1.  เพื่อศึกษาระดับทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยรวมและจำแนกรายทักษะ ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดรูปแบบกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
  2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยรวมและจำแนกรายทักษะ ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดรูปแบบกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
ความสำคัญของการวิจัย

            การวิจัยครั้งนี้ เป็นการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดรูปแบบกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนและเป็นแนวทางในการใช้วิธีการสอนและการจัดกิจกรรมให้ครู และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยนำไปพัฒนาทักษะด้าน อื่น ๆ ให้แก่เด็ก เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและศักยภาพของเด็กปฐมวัยต่อไป

ประชากรที่ใช้ในการวิจัย

          ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้  คือ นักเรียนชาย–หญิง ที่มีอายุ 5–6 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย จำนวน 30 คน

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย

          กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชาย–หญิง ที่มีอายุ 5–6 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้น
อนุบาลศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
1 ห้องเรียน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยการจับสลากนักเรียนชั้น
อนุบาลปีที่ จำนวน 30 คน

ตัวแปรที่ศึกษา

1) ตัวแปรต้น คือการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดรูปแบบกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
2) ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5 ทักษะ ประกอบด้วย
  1. การสังเกต
  2. การวัด
  3. การจำแนกประเภท
  4. การลงความเห็น
  5. การพยากรณ์
นิยามศัพท์เฉพาะ

เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กนักเรียนชาย–หญิง ที่มีอายุ 5–6 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง กระบวนการในการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนหลัก คือ การตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหา การสร้างสมมุติฐานหรือคาดการณ์คำตอบ การออกแบบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูล การลงข้อสรุปและการสื่อสารซึ่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวนี้จะบูรณาการในการจัดประสบการณ์ในแต่ละวัน

ทักษะทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถและความชำนาญในการเลือกใช้วิธีการที่ใช้ในการแสวงหาข้อมูลที่เกิดจากการปฏิบัติและฝึกฝนอย่างมีระบบโดยมีทักษะที่ต้องการส่งเสริม ดังนี้
            - การสังเกต หมายถึง ความสามารถการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ
หลายอย่างรวมกันได้ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้นและสัมผัสผิวกายเข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือ
เหตุการณ์ เพื่อค้นหาข้อมูลซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น
            - การวัด หมายถึง ความสามารถใช้เครื่องมือง่าย ๆ ที่เหมาะสมกับการวัด
การกะประมาณ การเปรียบเทียบ เพื่อบอกปริมาณสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงการใช้อุปกรณ์ในการวัด
            - การจำแนกประเภท  หมายถึง ความสามารถในการวัด ด้วยการเรียง แยกหรือแบ่งสิ่งของต่าง ๆ รอบตัว ตามคุณลักษณะที่มีความเหมือน
            - การลงความเห็น  หมายถึง ความสามารถในการอธิบายหรือการตีความหมาย
ของสิ่งที่สังเกตได้
            - การพยากรณ์ หมายถึง ความสามารถในการคาดคะเนหรือการทำนายคำตอบ
โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือข้อมูลจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ร่วมกับการสังเกต
ทักษะทั้ง 5 วัดได้จากแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น

การจัดประสบการณ์ตามแนวคิดรูปแบบกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน  หมายถึง กิจกรรมที่ประยุกต์จากดำเนินงานจากรูปแบบของกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีโดยพิจารณาจากองค์ประกอบของกิจกรรมที่เหมาะสำหรับการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้

-กิจกรรมการปลูกต้นไม้ เช่น พืชผักพื้นเมือง สมุนไพร ฯลฯ โดยการจัดกิจกรรมการเพาะปลูกพืชที่เด็กสนใจไว้ในโรงเรียนพร้อมทั้งเรียนรู้วิธีการดูแลรักษาและสังเกตการเจริญเติบโตของพืช
-การศึกษาสังเกตพันธุ์ไม้ โดยจัดกิจกรรมการศึกษาสังเกตลักษณะของพรรณไม้
จากลักษณะของ ใบ ดอก ผล และทำการบันทึกลงในสมุดที่พัฒนารูปแบบให้เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยจากแบบสมุดบันทึกข้อมูลพันธุ์ไม้ตามแบบของงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
-กิจกรรมการใช้ประโยชน์จากพืช เช่น การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์การประกอบอาหารจากพืช การประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องประดับจากเศษวัสดุธรรมชาติการปฏิบัติการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ที่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยโดยใช้รูปแบบกิจกรรมบูรณาการหรือโครงงาน

สมมุติฐานในการวิจัย

     เด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดรูปแบบกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนมีการเปลี่ยนแปลงของทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์แตกต่างจากก่อน
การจัดประสบการณ์

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

 ในการวิจัยครั้งนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ
  1.  แผนการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
  2.  แบบทดสอบทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
การวิเคราะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลได้ดำเนินการดังนี้
  1. หาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
  2. วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดรูปแบบกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยเพื่อศึกษาการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยรวมและรายทักษะโดยใช้ค่าแจกแจง t แบบ Dependent Samples
สรุปผลการวิจัย
  1. ระดับทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยรวมและจำแนกรายทักษะสูงขึ้นกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดรูปแบบกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
  2. ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยรวมและจำแนกรายทักษะ แตกต่างจากก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้น

Article Summary

บทความเรื่อง..."แนวทางสอนคิด เติม "วิทย์" ให้เด็กอนุบาล


    ผู้ใหญ่หลายคนที่ไม่เข้าใจในธรรมชาติความเป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวน้อยๆของเด็ก จึงปิดกั้นโอกาสทางการเรียนรู้ของพวกเขาโดยการไม่ให้ความสนใจกับคำถามและการ ค้นพบแบบเด็กๆ หรือไม่ได้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่จะส่งเสริมและต่อยอดทักษะและแนวคิด ที่ถูกต้องให้กับเด็กอย่างเหมาะสม ซึ่งนั่นทำให้การพัฒนาทักษะของเด็กต้องขาดตอนไปอย่างน่าเสียดาย

ดร.วรนาท รักสกุลไทย นักการศึกษาปฐมวัย ผู้อำนวยการโรงเรียนเกษมพิทยา (ฝ่ายอนุบาล) กล่าวว่า "เราคงทราบดีกันอยู่แล้วว่าวิทยาศาสตร์มีความสำคัญเพียงใด แต่สำหรับเด็กอนุบาล แนวทางการสอนต่างหากที่จะทำให้เด็กสนใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือครูต้องแม่นยำในพัฒนาการของเด็ก เพื่อที่จะสามารถจัดการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับความสามารถของเด็ก รวมถึงต้องอย่าลืมเรื่องจินตนาการที่มีอยู่สูงในเด็กวัยนี้"

ดร.เทพกัญญา พรหมขัติแก้ว นักวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์ประถมศึกษา สสวท. กล่าวถึงแนวทางในการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กอนุบาลว่า "แนวทางของ สสวท.คือต้องการให้คุณครูบูรณาการวิทยาศาสตร์เข้าไปในการเรียนการสอนปกติของเด็กๆ ซึ่งครูและนักการศึกษาปฐมวัยอาจจะมีคำถามว่า จะต้องแยกวิทยาศาสตร์ออกมาเป็นอีกวิชาหนึ่งไหมจริงๆ คือไม่ต้อง เพราะการเรียนรู้ในระดับปฐมวัยจะเน้นการเรียนรู้แบบองค์รวมไม่ต้องแยกเป็นวิชาเพราะวิทยาศาสตร์คือกระบวนการการเรียนรู้ อยากให้คุณครูมองว่า มันคือการเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัวของเด็กๆ"สำหรับปัญหาที่พบในขณะนี้ก็คือ บางครั้งเด็กมีคำถาม แล้วครูตอบไม่ได้ เพราะเราก็ต้องเข้าใจครูปฐมวัยด้วยว่าอาจไม่มีพื้นฐานในสายวิทย์มากนัก ดังนั้นเมื่อครูเกิดตอบคำถามเด็กไม่ได้ก็จะเกิดหลายกรณีตามมา เช่น ครูบอกเด็กว่า เธออย่าถามเลย เด็กก็ถูกปิดกั้นการเรียนรู้ไปเสียอีก กับอีกแบบคือ ครูตอบคำถามเด็ก ซึ่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ควรจะเป็นการเรียนรู้ไปด้วยกัน ให้เด็กหาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอให้ครูหามาป้อน และถ้าครูตอบผิดเด็กก็อาจจำไปผิดๆได้"

นอกจากนี้ ดร.เทพกัญญา ยังได้ให้แนวทางในการ "สืบเสาะความรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก" อันประกอบแนวทางปฏิบัติ 5 ข้อดังนี้
1. ตั้งคำถามที่เด็กสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง เช่น คำถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว หรือโลกของเรา 2. ออกไปหาคำตอบด้วยกัน เนื่องจากคำถามในระดับเด็กอนุบาลมักจะเปิดกว้าง ดังนั้นการค้นหาคำตอบอาจมีครูคอยช่วยจัดประสบการณ์ให้เด็กตามที่เขาตั้งขึ้น
3. เมื่อขั้นสองสำเร็จ เด็กจะเอาสิ่งที่เขาค้นพบมาไปตอบคำถามของเขาเอง ในขั้นนี้คุณครูอาจช่วยเสริมในแง่ของความครบถ้วนสมบูรณ์ หรือในด้านของเหตุและผล
4. นำเสนอสิ่งที่เขาสำรวจตรวจสอบมาแล้วให้กับเพื่อนๆ
5. การนำสิ่งที่เด็กค้นพบคำตอบนั้นไปเชื่อมโยงกับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561

Learning log 4

Wednesday, August 29, 2018


The knowledge gained


Scientific Process Skills for Preschool Children (ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์)


พัฒนาการ 4 ด้าน
พัฒนาการ : เป็นความสามารถของเด็กที่แสดงออกมาตามระดับช่วงวัย
ลักษณะพัฒนาการ : มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง

ทฤษฎีเพียเจต์ (Piaget) ด้านสติปัญญา 
1.ขั้นรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง (Sensory-motor Period) เป็นขั้นพัฒนาการในช่วง 0-2 ปี การเรียนรู้ของเด็กวัยนี้ขึ้นกับการรับรู้จากการสัมผัสและการกระทำ โดยเด็กวัยนี้จะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
2.ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Pre-operational Period) เป็นขั้นพัฒนาการในช่วงอายุ 2-7 ปี การเรียนรู้ของเด็กวัยนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของเด็กเป็นส่วนใหญ่และยังไม่สามารถที่จะใช้เหตุผลอย่างลึกซึ้ง แต่สามารถเรียนรู้การใช้ภาษาและสัญลักษณ์ได้ พัฒนาการในขั้นนี้แบ่งออกเป็น 2 ขั้นย่อย ดังนี้
- ขั้นก่อนเกิดความคิดรวบยอด ช่วงอายุ 2-4 ปี
- ขั้นการคิดด้วยความเข้าใจของตนเอง 4-7 ปี

The importance of science (ความสำคัญของวิทยาศาสตร์)

: ช่วยในเรื่องวงการแพทย์ เกษตรกร และทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์สุขสบายขึ้น 

เด็กปฐมวัย
เป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็น
- วัยที่มีพัฒนาการของสมองมากที่สุดของชีวิต
- แสวงหาความรู้สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว

Scientific Process Skills (ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์)

1.ความหมายทักษะการสังเกต
          ทักษะการสังเกต (Observation) หมายถึงการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์โดยมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้นๆ เช่น
- การสังเกตรูปร่างลักษณะและคุณสมบัติทั่วไป
- การสังเกตควบคู่กับการวัดเพื่อทราบปริมาณ
- การสังเกตเพื่อรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง 
2.ความหมายทักษะการจำแนกประเภท 
          ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึงความสามารถในการแบ่งประเภทสิ่งของโดยหาเกณฑ์ (Criteria) เช่น
- ความเหมือน (Similarities)
- ความแตกต่าง (Differences) 
- ความสัมพันธ์ร่วม (Interrelationships) เช่น รถกับถนน เรือกับแม่น้ำ พาหนะกับสถานที่เวลาใช้งานต้องทำงานไปพร้อมกัน
3.ความหมายทักษะการวัด
            ทักษะการวัด (Measurement) หมายถึงการใช้เครื่องมือต่างๆ วัดหาปริมาณของสิ่งของที่เราต้องการทราบได้อย่างถูกต้อง โดยมีหน่วยการวัดกำกับ เช่น
- รู้จักกับสิ่งของที่จะวัด
- การเลือกเครื่องมือที่นำมาใช้วัด เช่น กระป๋องใช้วัดปริมาณของน้ำ
- วิธีการที่เราจะวัด
4.ความหมายทักษะการสื่อความหมาย
           ความหมายทักษะการสื่อความหมาย (Communication) หมายถึง การพูด การเขียนรูปภาพ และภาษาท่าทาง การแสดงสีหน้าความสามารถรับข้อมูลได้อย่างถูกต้องและชัดเจน เข่น
- บรรยายลักษณะคุณสมบัติของวัตถุ
- บันทึกการเปลี่ยนแปลงของวัตถุได้
- บอกความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ได้จัดกระทำ
- จัดกระทำข้อมูลในรูปแบบต่างๆ
5.ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
            (Interring) เป็นการเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ เช่น
- การหาข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
- การสรุปความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
- การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆรอบตัว
6.ความหมายทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา
           (Space) หมายถึง การรู้จักเรียนรู้ 1 มิติ 2 มิติ 3 มิติ การเขียนภาพ 2 มิติแทนรูป 3 มิติ
การบอกทิศทาง การบอกเงา ที่เกิดจากภาพ 3 มิติ การเห็นและเข้าใจภาพที่คิดบนกระจกเงา การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลาสำหรับเด็กปฐมวัย เช่น
- ชี้บ่งภาพ 2 มิติ และ 3 มิติ
- บอกความสัมพันธ์ระหว่างทิศทางของวัตถุ
- บอกตำแหน่งหรือทิศทางของวัตถุ
- บอกตำแหน่งซ้ายหรือขวาของภาพที่เกิดจากการวางวัตถุไว้หน้ากระจกเงา
7.ความหมายทักษะการคำนวณ
            หมายถึง ความสามารถในการนับจำนวนของวัตถุ การบวก ลบ คูณ หาร การนับจำนวนของวัตถุ การนำจำนวนตัวเลขมากำหนดบอกลักษณะต่างๆ เช่น ความกว้วง ความยาว ความสูง พื้นที่ ปริมาตร น้ำหนัก เช่น
- การนับจำนวนของวัตถุ
- การบวก ลบ คูณ หาร
- การนำตัวเลขมากำหนดหรือบอกลักษณะต่างๆของวัตถุ

มาตรฐานการศึกษาระดับการศึกษาปฐมวัย
มาตรฐานด้านผู้เรียน : มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ มีวิจารณญาณ และมีความคิดสร้างสรรค์

คุณสมบัติบุคคลที่เอื้อต่อทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1.ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะวิเคราะห์
2.ช่างสังเกต ช่างสงสัย ช่างไต่ถาม คำถามที่มักใช้ 5W  WHAT WHERE WHEN WHY WHO 1H HOW
3.ความสามารถในการลงความเห็น
4.ความสามารถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล

องค์ประกอบของการคิดทางวิทยาศาสตร์
1.สิ่งที่กำหนดให้ : เป็นสิ่งสำเร็จรูปที่กำหนดให้ สังเกต จำแนก วัด / สื่อความหมาย / ลงความเห็น / หาความสัมพันธ์ / การคำนวณ เช่น วัตถุ สิ่งของ เรื่องราว เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ
2.หลักการหรือกฏเกณฑ์ : เป็นข้อกำหนดสำหรับใช้แยกส่วนประกอบของสิ่งที่กำหนดให้เช่น เกณฑ์ จำแนกสิ่งที่เหมือนกันหรอแตกต่างกัน เกณฑ์ในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ลักษณะความสัมพันธ์คล้ายคลึงกันหรือขัดแย้งกัน
3.การค้นหาความจริงหรือความสำคัญ : เป็นการพิจารณาส่วนประกอบของสิ่งที่กำหนดใให้ ตามหลักเกณฑ์ แล้วทำการรวบรวมประเด็นที่สำคัญเพื่อหาข้อสรุป

ความสามารถในการลงความเห็นจากข้อมูล (คำถาม)
     - อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดฝนตกหนัก
- อะไรเกี่ยวข้องกับการเติบโตของต้นถั่วงอก เกี่ยวข้องอย่างไร
- มีแนวทางแก้ปัญหาในการทดลองอย่างไรบ้าง
- มีองค์ประกอบใดบ้างที่นำไปสู่การย้อมสีใบไม้ให้สวย

กระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์
ขั้นที่ 1 กำหนดสิ่งที่ต้องการศึกษา
ขั้นที่ 2 กำหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์
ขั้นที่ 3 กำหนดหลักการหรือกฏเกณฑ์
ขั้นที่ 4 พิจารณาแยกแยะ
ขั้นที่ 5 สรุปคำตอบ

สมองกับวิทยาศาสตร์
- ตีความข้อมูล
- หาเหตุผล
- ประเมินคุณค่า
- จำแนกองค์ประกอบ



Self evaluation 

: ตั้งใจฟังอาจารย์สอนค่ะ เพราะวันนี้เนื้อหาค่อนข้างเยอะ จดบันทึกตามเพื่อที่จะนำกลับมาทำบล็อคค่ะ


Evaluate friends 

: เพื่อนบางส่วนมาสายค่ะ มีการให้ความร่วมมืในการเรียน พยายามช่วยกันตอบคำถามอาจารย์ มีความกระตือรือร้นในการค้นหาคำตอบ 

Evaluate the teacher

: อาจารย์ทบทวนความรู้เดิมก่อนเรียน และมีการกระคุ้นให้นักศึกษาได้ตอบคำถามอยู่ตลอดเวลาค่ะ